บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม

sprite

หยวนชิงหลิงกลับไปเจ้าห้า แล้วบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกย่างก้าว ทุกความเคลื่อนไหวและทุกคำพูดที่ฮู่ก่วงถิงได้ทำในวันนี้ให้เขาฟัง

จากนั้น ก็เดาอย่างระมัดระวังทั้งยังขวัญกล้าด้วยว่า “คงไม่ใช่ว่านางเกิดไปต้องตาเสด็จพ่อเข้าแล้วหรอกนะ? ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงที่นางใช้ มันเหมือนกับผู้ที่อาวุโสกว่าใช้พูดกับเด็ก ๆ อีกทั้งนางยังบอกด้วยว่าหลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป จะคุกเข่าให้ข้าก็ไม่เหมาะสมแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องอาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ?”

หยู่เหวินเห้าได้ยินดังนั้น ก็อารมณ์เสียอย่างมาก เพียงแต่ยากจะเก็บซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาของเขาได้ "สายตานางเป็นอะไรไปแล้วรึ? ไม่ต้องตาข้า แต่กลับไปต้องตาคนแก่อย่างเสด็จพ่อ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่เคยเจอผู้ชายดี ๆ มาก่อน ช่างโง่เขลาราวกบในกะลาเสียจริง”

หยวนชิงหลิงเลิกคิ้ว "เสียดายรึ? อยากให้ข้าไปขอร้องนางให้เจ้าหรือไม่?"

หยู่เหวินเห้าโบกมือเป็นพัลวัน “ช่างเถอะ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน ทำอะไรโดยฝืนมักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี ข้าจะให้หนทางรอดกับนางสักครั้งก็แล้วกัน”

หยวนชิงหลิงนั่งลงข้างเตียง แล้วพูดว่า “นี่เป็นเพียงการเดาของข้า มันอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ เพียงแต่ ตอนแรกข้ายังคิดว่านางมีนิสัยหยิ่งทะนงชอบใช้อารมณ์ พอมาได้เห็นวันนี้กลับไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าข่าวลือที่ลือกันข้างนอกน่าจะเป็นข่าวเท็จ”

“นางเติบโตในเจิ้งเป่ย ระหว่างที่ชื่อเสียงของนางเล่าลือในเมืองหลวง ตัวนางก็อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้แล้ว จะถูกบิดเบือนไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้นี้สูงมาก จึงอดรู้สึกเปรมปรีดิ์มีความสุขอยู่ในใจไม่ได้

“ไม่ได้ ข้าจะให้แม่นมสี่ไปถามดูให้รู้เรื่อง” หยวนชิงหลิงกล่าว

หยู่เหวินเห้ามองส่งนางออกไป อารมณ์ดีอย่างยิ่งจนครวญเพลงในลำคอเบา ๆ เลยทีเดียว

แม่นมสี่นำป้ายคำสั่งป้ายอาญาสิทธิ์ของหยู่เหวินเห้าเข้าวังไป โดยบอกว่านางต้องการมากราบทูลรายงานสถานการณ์ของพระชายาฉู่ให้แก่ไท่ซ่างหวงทรงทราบ

ทางด้านไท่ซ่างหวงนั้น ยังไม่มีการไปสอบถามข่าวคราวใด ๆ ออกมา

นางมุ่งหน้าไปหามู่หรูกงกง

แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วต่ำว่า: “ไม่รู้นะขอรับ วันนี้หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไปแล้ว ฝ่าบาทก็ยังไม่เสด็จออกมาเลย ข้าน้อยเข้าไปดูแลรับใช้พระองค์ข้างใน ก็เห็นว่าพระองค์มีสีพระพักตร์หนักอึ้งหม่นหมองยิ่งนัก บางครั้งก็ส่งเสียงคำรามอีกด้วย สุรเสียงที่คำรามออกมาน่าสงสารอย่างยิ่ง บางครั้งก็ขว้างปาข้าวของ จะตราประทับ หินฝนหมึกอะไรก็ทรงขว้างปาทั้งหมด ส่งเสียงดังอึกทึกกึกก้อง กระทั่งใต้เท้าเหลิ่นมาแล้วก็ยังไม่ให้เข้าพบ ไม่รู้จริง

“เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอะไรบ้าง เจ้าไม่ได้ยินหรอกหรือ?” แม่นมสี่ถาม “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะทำให้พระองค์ทรงกริ้ว?”

แล้วพูดว่า “พูดตามที่เห็นคิดว่าไม่น่าจะใช่ ท่าทีของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยตอนที่เข้าวังมาเมื่อวานนี้เย่อหยิ่งจองหองถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงกริ้วแม้แต่น้อย วันนี้ตอนที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมา เขาถึงกับออกตัวยกน้ำชาให้ฝ่าบาทเองด้วยซ้ำ ท่าทางประจบสอพลอไม่ต่างจากสุนัขตัวหนึ่ง รอจนเมื่อเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไป กลับดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เงาแผ่นหลังช่างอ้างว้างเหี่ยวเฉา ราวกับคนที่ถูกตำหนิคำรบใหญ่ ๆ

เหมือนว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรจากทางนี้ กระทั่งมู่หรูกงกงก็ยังไม่รู้

ความไว้วางใจที่ฝ่าบาทมีต่อมู่หรูกงกง เป็นเรื่องที่รู้กันดีในราชสำนัก อย่างน้อยก็น่าจะมีรำพึงรำพันกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว

สรุปแล้ว เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยสร้างปัญหายุ่งยากอะไรให้กับฝ่าบาทกันแน่?

“จริงสิ หลังจากที่เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยกลับไป ฝ่าบาทก็ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม่นมสี่ก็รีบกล่าวลา แล้วไปที่พระตำหนักฉินคุน

นางเข้าไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวง แน่นอนว่านางย่อมไม่กล้าเอ่ยปากทูลถามไท่ซ่างหวงโดยตรง จึงทำได้เพียงดึงมือฉางกงกงออกไปถาม

ผลปรากฏว่า ฉางกงกงรู้เรื่องนี้จริง ๆ จึงหัวเราะอย่างมีเลศนัยพลางพูดว่า "ลูกสาวของเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยจะถวายตัวเข้าวัง"

แม่นมสี่เบิกตากว้าง “จริงรึ?”

“ก็ใช่น่ะสิ! ฝ่าบาทคงไร้หนทางแล้วจริง ๆ ถึงได้เสด็จมาหาไท่ซ่างหวงเพื่อขอความช่วยเหลือคิดหาทางออกให้”

“แล้วไท่ซ่างหวงทรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง?” แม่นมสี่ถามอีก

ฉางกงกงปิดปากหัวเราะชอบใจครู่ใหญ่ แล้วพูดว่า “ไท่ซ่างหวงทรงปรายพระเนตรมองฝ่าบาทเพียงแวบเดียว แล้วตรัสกล่าวด้วยความประหลาดพระทัยว่า เจ้าแก่ใจวัยลูกคนนี้นี่นะ ช่างมีดวงเรื่องนารีไม่มีแผ่วเลยจริง ๆ ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แม่นมสี่ก็หลุดหัวเราะคิดออกมา “เช่นนั้นหลังจากไท่ซ่างหวงทรงตรัสประโยคนี้แล้ว พระองค์ทรงให้ความช่วยเหลืออะไรแก่ฝ่าบาทบ้างหรือไม่?”

ฉางกงกงส่ายหน้า “ไม่เลย บอกเพียงแค่ว่านี่เป็นเรื่องดี เพราะจะอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่ได้ทรงคัดเลือกพระชายามาห้าปีแล้ว วังหลังนี้ก็ไม่มีผู้มาใหม่ อุตส่าห์มีคนตาบอดกระโดดเข้ามาเองทั้งคน ไท่ซ่างหวงตรัสเพียงว่าเป็นเรื่องดี เป้าหมายอะไรก็ตามที่ฝ่าบาทหวังไว้ ก็เท่ากับบรรลุได้ตามเป้าหมายแล้ว เช่นนั้นก็ให้มันเป็นไปตามนี้นี่ล่ะ"

แม่นมสี่มั่นใจหนักแน่นราวกับได้กินลูกตุ้มเหล็กเข้าไปทั้งลูก ออกจากวังไปอย่างมั่นอกมั่นใจ

ฮ่องเต้หมิงหยวนทรงมีรับสั่งเรียกให้มู่หรูกงกงเข้าพบ ตรัสถามด้วยสีพระพักตร์มืดมนว่า “เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าถึงไม่อยู่ที่นี่ ไสหัวไปอยู่ที่ไหนมา?”

จึงกราบทูลไปตามความจริงว่า “ทูลฝ่าบาท แม่นมสี่เข้าวังมาเพื่อน้อมทักทาย แต่หม่อมฉันไม่กล้าเรียกให้นางเข้ามา จึงออกไปพูดกันสองสามคำที่ด้านนอก นางขอน้อมทักทายฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้หมิงหยวนแววพระเนตรมืดทะมึน "นางมาน้อมทักทาย? ไม่ใช่ว่านางได้รับคำสั่งให้เข้าวังมาสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้หรอกรึ?"

ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดถึงเรื่องนี้ทีไร ก็รู้สึกเศร้าโศกโศกายิ่งนัก เดิมทีต้องเป็นชายารองของเจ้าห้าแท้ ๆ แต่ตอนนี้กลับจะกลายมาเป็นพระชายาของเขาเองไปเสียได้ ตอนนี้ถึงตาเขาที่ต้องเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทนเจ้าห้าแล้ว

มู่หรูกงกงไม่กล้ากราบทูลตรง ๆ ทำได้เพียงยิ้มแหย ๆ แล้วทูลว่า: “แม่นมสี่ไม่ได้ถามถึงเรื่องอะไรอื่นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางไปทูลรายงานสถานการณ์ของพระชายาแก่ไท่ซ่างหวง จึงถือโอกาสมาน้อมทักทายฝ่าบาทด้วย"

ฮ่องเต้หมิงหยวนรับสั่งอย่างรำคาญพระทัยอย่างยิ่งว่า: “จะไสหัวไปไหนก็ไปไป๊!”

มู่หรูกงกงค้อมกายคำนับแล้วถอยออกไป จากนั้นค่อยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ฮ่องเต้หมิงหยวนทอดพระเนตรม่านที่ยังคงสั่นไหวอยู่ พระขนงขมวดมุ่นจนย่นยู่พับทับกันจนเกิดเป็นรอยจีบหนาๆ

ว่าทำไมนังหนูนั่นถึงได้อยากเข้าวัง? ไม่ใช่ว่าเขาดูหมิ่นตัวเอง ในความเป็นจริง ตั้งแต่รูปลักษณ์ไปจนถึงความสามารถทั้งหลาย

เห็นได้ชัดว่า นางมีตัวเลือกที่ดีกว่า

ก็เอาแต่รู้สึกว่านังหนูนั่นช่างโง่เขลายิ่งนัก ไม่เข้าใจหัวใจของตัวเอง พระองค์ตัดสินพระทัยว่าจะคุยกับฮู่ก่วงถิงด้วยองค์เองสักครั้ง ต้องใช้สถานะผู้อาวุโสและฮ่องเต้ทำให้นางเข้าใจ ว่าชีวิตคนเรายังมีเส้นทางอีกมากมายให้เลือกเดิน ไม่ควรทำให้ทั้งพ่อและคนในตระกูลต้องเป็นกังวล และที่สำคัญที่สุดคือ

พระองค์จึงมีพระราชโองการ เรียกให้ฮู่ก่วงถิงเข้าวัง

ฮู่ก่วงถิงได้ฟังพระราชโองการแล้ว ถึงกับตกตะลึงไปราว ๆ สิบวินาทีเลยทีเดียว

เป็นสีแดงเล็กน้อย ไปจนถึงแดงก่ำอย่างกะทันหัน จากนั้น ริมฝีปากก็พลันซีดเผือดสี มีอาการสั่นขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่คลออยู่ใต้ดวงตา

นางยังสามารถรักษาท่าทางการเดินเหินได้เป็นปกติ แต่เมื่อนางกลับถึงห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

อันนี้แดงเกินไป อันนี้ก็ใช้ไม่ได้ สีเหลืองสดไปทำให้สีผิวของข้าดูคล้ำ สีเขียวไม่ได้ สีเขียวเหมือนผักโขม ไม่ได้

บัลลังก์หมอยาเซียน ลิ่วเยว่ บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม ออนไลน์ฟรี

นวนิยาย บัลลังก์หมอยาเซียน ลิ่วเยว่ บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม ได้อัปเดตบทใหม่พร้อมเนื้อหาใหม่มากมาย ที่ บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม บัลลังก์หมอยาเซียน คนที่น่าสังเวชสองคนนี้ถูกปฏิเสธโดยทั้งสังคม แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องอย่างมากในด้านรูปลักษณ์และความเป็นมนุษย์ ลิ่วเยว่ คิดว่าพวกเขาเป็นชิ้นส่วนที่สมบูรณ์แบบสำหรับกันและกัน ติดตาม บัลลังก์หมอยาเซียน นวนิยาย บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม ได้ที่เว็บไซต์ th.readeraz.com

บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม

บัลลังก์หมอยาเซียน นวนิยาย บทที่ 406 ส่งนางเข้าวังไปรับการอบรม