บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล

sprite

เวรกรรมแท้ๆ!

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยได้เห็นลูกสาวที่กลับมาหลังจากได้รับฟังข่าวดี นางก็ยิ้มแย้มยินดีจนกระโดดโลดเต้นกลับไปที่ห้องตัวเอง ในใจเขาได้แต่คร่ำครวญประโยคนี้ไม่หยุด

เขาเป็นเหมือนดั่งพยัคฆ์ที่ลงจากภูเขามาอย่างดุดันสง่างาม ท่วงท่าปราดเปรียวว่องไว ทรงพลังมีพลานุภาพ แต่กลับสะดุดล้มที่ก้าวสุดท้าย หกคะเมนหน้าคะมำกลิ้งตกลงไปในรางน้ำจนหมดสภาพ

ไม่ต้องพูดถึงแค่เรื่องเสียศักดิ์ศรีหน้าตาจนไม่มีเหลือ ยังทำให้ความยิ่งใหญ่ที่เขาเฝ้าเพียรสร้างสมขึ้นมาสูญสลายหายไปอย่างเปล่าประโยชน์อีกด้วย

พระราชโองการจากฮ่องเต้หมิงหยวน เป็นอะไรที่แสนจะเอ้อระเหยลอยชายอย่างยิ่ง ต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น ถึงค่อยถูกส่งมาถึงจวนเจ้าพระยาเจิ้งเป่ย

แต่งตั้งชั้นยศเป็นพระสนม แต่กระทั่งชื่อชั้นยศก็ยังเกียจคร้านเกินกว่าจะตั้งให้ จึงตั้งชื่อยศให้เป็นฮู่เฟยไปเลยตรง ๆ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีการตั้งชื่อที่แสนจะขายผ้าเอาหน้ารอด ฟังดูขอไปทีได้ชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง

แต่ฮู่ก่วงถิงกลับมีความสุขจนล้นปรี่ ยังบอกอีกด้วยว่าชื่อฮู่เฟยเป็นชื่อที่ไพเราะที่สุด

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยเห็นว่าลูกสาวมีความสุข ความทุกข์ตรมในใจก็ลดน้อยผ่อนคลายลงไปได้เป็นกอง แต่ก็ยังพึมพำออกไปว่า “ไม่ใช่ตำแหน่งฮองเฮาเสียหน่อย มีอะไรให้ดีใจขนาดนั้นกัน?”

ฮู่ก่วงถิงพูดขึ้นว่า "ท่านหาใช่มัจฉาไม่ ไยจึงรู้ความสุขของมัจฉา?” (หมายถึง แต่ละคนล้วนมีความปรารถนาในใจต่างกัน คนหนึ่งไม่อาจรู้จัก หรือเข้าใจอีกคนหนึ่งได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นความเจ็บปวด ความสุขของแต่ละคนล้วนเป็นของตนเอง คนอื่นไม่สามารถช่วงชิงเอาไปได้)

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยถอนหายใจเฮือก "เจ้าหาใช่มัจฉาไม่ ไยจึงรู้ความทุกข์ของมัจฉาล่ะ? วันหลังเจ้าก็จะรู้เอง บรรดาท่านหญิงในวังหลังทั้งหลาย คงแทบอดรนทนไม่ไหวอยากบีบเจ้าให้ตายไปเสียให้พ้นหูพ้นตาแน่ ถ้าเจ้าได้อยู่ในตำแหน่งฮองเฮานั่นล่ะ ถึงจะมั่นคงปลอดภัยวางใจได้"

“ท่านพ่อ ไม่ใช่ว่าท่านคิดจะไปบังคับฝ่าบาทให้หย่าฮองเฮาไปเสียหรอกนะ? เหมือนกับตอนแรกที่คิดว่าข้าจะแต่งให้กับอ๋องฉู่ เลยจะให้พระชายาฉู่สละตำแหน่งให้ข้าน่ะ?” ฮู่ก่วงถิงมองพ่อตัวเองตาเขม็ง

" พ่อของเจ้าแค่บ้าบิ่น แต่พ่อไม่ใช่คนโง่! พระชายาฉู่กับฮองเฮาเป็นคนระดับเดียวกันหรือไร? ตระกูลฉู่กับเจ้าพระยาจิ้งมีระดับเท่าเทียมกันหรือไร? พ่อกล้าทำให้เจ้าพระยาจิ้งขุ่นเคือง

ฮู่ก่วงถิงหัวเราะพลางพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านยังมีคนที่กลัวอยู่ด้วยรึนี่? ไม่ใช่ว่าแม้กระทั่งฮ่องเต้ ท่านก็ยังไม่กลัวเลยหรอกรึ?”

เดินเข้ามานั่งลงอย่างช้า ๆ “มีคนประเภทหนึ่งที่เรียกว่า เสือหน้ายิ้ม ซึ่งในเวลาปกติจะมีความอดทนอดกลั้นสูง แต่ถ้ามีวันใดวันหนึ่งที่เจ้าบังอาจไปพูดจาเพ้อเจ้อต่อหน้าเขาล่ะก็ เขาจะไม่พูดจาว่าอะไรเจ้าแม้เพียงครึ่งคำ กระทั่งในบางครั้งยังถึงขั้นพูดจาหยอกล้อ หัวเราะรื่นเริงกับเจ้าด้วย แต่เจ้าต้องระวังให้ดี ต้องรู้ว่าขอบเขตของตัวเองอยู่ตรงไหน มีผลงาน มีคุณความดีกี่ส่วน พูดจาเพ้อเจ้อตามอำเภอใจได้กี่ส่วน ผลงานและคุณความดีของพ่อ ถ้าจะเอาไปเบียดกับชายาฉู่น่ะเรอะ เหลือเฟือ! แต่ถ้าเป็นตำแหน่งฮองเฮาล่ะก็ นั่นถือว่าข้ามเส้น เกินกำลังตัวเองไปแล้วล่ะ! แล้วก็ยังมีคนอีกประเภท เรียกว่าเสือเงียบ คนประเภทนี้มักสงบปากสงบคำ ถ้าเจ้าทำตัวเกินเลยต่อหน้าเขา เขาก็จะแค่ปรายตามองเจ้าอย่างเย็นชาแค่แวบเดียว แต่เจ้าสายตาที่ปรายมาแวบเดียวนี้นี่แหละที่น่ากลัว และเมื่อเจ้ายังไม่รู้จักเก็บงำท่าที ยังทำตัวเกินเลยต่อไปอีกหน่อย ในพริบตาต่อมา เขาก็จะพุ่งเข้าหาเจ้าอย่างดุร้าย แล้วสับร่างป่นกระดูกเจ้าจนแหลกละเอียดไม่มีเหลือ แล้วก่อนที่จะพุ่งเข้าโจมตีเจ้า จะไม่มีสัญญาณเตือนใด

ฮู่ก่วงถิงถามขึ้นว่า: "คนแรกคือฝ่าบาท ? คนหลังคือโสวฝู่?"

“ก็เพราะอย่างนี้แหละ พ่อถึงไม่ค่อยชอบกลับมาเมืองหลวงเลยจริงๆ มีแต่เสือสิงอยู่เต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง อยู่ที่เจิ้งเป่ยยังดีเสียกว่า ดินแดนอันกว้างใหญ่ โจรไพรจอมหยิ่งผยอง ทั้งหมดล้วนเป็นดินแดนของข้า ล้วนเป็นประชาชนของข้าทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่เพื่อต่อสู้แย่งชิงเกียรติยศศักดิ์ศรีให้กับตระกูลฮู่ของเรา ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าท่านย่าของเจ้าอายุมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะการแต่งงานของเจ้ายังไม่บรรลุตามที่มุ่งหมาย

ฮู่ก่วงถิงก้าวไปข้างหน้าทำท่าทางออดอ้อน "ท่านพ่อ อันที่จริงท่านก็มองอะไร ๆ ได้เข้าใจกระจ่างชัดดีนะเจ้าคะ"

หัวของพ่อหัวนี้น่ะ ขอแค่อย่าถูกตัดขาดแล้วไปแขวนไว้ที่สายคาดเอวของศัตรูนำกลับไปรับรางวัลก็ดีแค่ไหนแล้ว ใช้ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายมาขนาดนี้

แล้วเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า: "ที่ข้างนอกมีคนพูดกันว่า พ่อชอบใช้กำลังขู่เข็ญคุกคาม เบื้องหลังยังมีกองทัพทหารเจิ้งเป่ยอีกหลายแสนนายเป็นขุมกำลัง พวกเขาสงสัยกันว่าพ่อจะก่อกบฏ พ่อจะก่อกบฏจริง

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยมองลูกสาวอย่างประหลาดใจ "ให้พ่อเป็นขุนนางที่สร้างผลงานดี ๆ ไม่เป็น จะไปเป็นกบฏทำไมล่ะ?"

ปล่อยให้ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ของราชสำนัก ต้องไปที่ประตูเมืองเพื่อต้อนรับท่านถึงสองครั้ง จากนั้นท่านก็ยังไม่เคารพฮ่องเต้อีกด้วย”

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ยพูดอย่างเผด็จการ แสดงท่าทางวางโตอย่างยิ่งว่า: "เรื่องแค่นี้เจ้าก็ไม่รู้รึ! พ่อได้สร้างผลงานที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ให้แก่บ้านเมือง และเหมือนที่เจ้าพูดมาว่าพ่อมีกำลังทหารเจิ้งเป่ยหลายแสนนายอยู่ข้างหลัง หากพ่อยังทำตัวเชื่อฟังว่าง่ายไม่ต่างอะไรกับสุนัขตัวหนึ่งอีก กลับกันมันจะยิ่งง่ายต่อการถูกคนเข้าใจไปว่า พ่อคิดแผนการลึกซึ้ง รู้จักอดทนรอคอยเวลา และฝ่าบาทก็ต้องรู้ว่าที่พ่อขอพระราชทานรางวัลเช่นนี้ ย่อมหมายถึงการขอแต่งตั้งยศ เมื่อพ่อมีคำขอ อย่างน้อยฝ่าบาทก็ต้องมีพระทัยแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าพ่อไม่ร้องขอสิ่งใดเลย ฝ่าบาทก็จะคิดแผนการร้อยแปดพันเก้าออกมา เพื่อวางกับดักยึดอำนาจทางการทหารของพ่อ ลูกเอ๊ย เรื่องแค่นี้เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นเจ้าถึงไม่เหมาะที่จะเข้าวังจริง ๆ อย่างไรเล่า!”

เจ้าพระยาเจิ้งเป่ย แสดงท่าทีเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตของนางอีกครั้ง

ฮู่ก่วงถิงพูดขึ้นว่า "ข้าต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม่ล่ะ? แล้วข้าก็ไม่สนใจเรื่องในราชสำนักด้วย"

สุดท้าย นางก็พูดด้วยท่าทางแก่นแก้วซุกซนว่า "สตรีในวังหลัง ไม่ต้องเล่นการเมืองสักหน่อย!"

“หน้าไม่อาย!” เจ้าพระยาเจิ้งเป่ย ผรุสวาทเสียงดังด้วยใบหน้าบูดบึ้ง

ฮู่ก่วงถิงหัวเราะร่าพลางวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากมีพระราชโองการแต่งตั้งพระสนมลงไป วังหลังก็ย่อมต้องรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน

ฮองเฮาถึงกับตกตะลึงพรึงเพริศไปเป็นคนแรก

นางไม่เคยได้ยินฝ่าบาทตรัสถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยนิด การแต่งตั้งพระสนมเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฝ่าบาทถึงกับไม่มาปรึกษานางที่เป็นฮองเฮาเลย

ฮองเฮาแทบจะสิ้นลมด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่แล้ว

ๆ ก็ยังถือว่าแล้วไปเถอะ เหล่าบรรดาพระสนมทั้งหลายต่างก็มาถามถึงสถานการณ์กันหน้าสลอน ระหว่างที่พูดคุยกัน ยังบอกด้วยว่านางช่างเก็บงำความลับมิดชิดนัก ถึงกับไม่แจ้งข่าวคราวใด

จริงจังเคร่งขรึมในขณะพูดเกลี้ยกล่อมพวกนางว่า วังหลังไม่มีการคัดเลือกพระสนมมาห้าปีแล้ว เมื่อห้าปีก่อนคัดเลือกเข้ามาได้สามคน สนมซูคนสุดท้ายก็ตายจากไปแล้ว หากพูดกันตามความจริง ก็คือวังหลังไม่มีคนใหม่เข้ามานานมากแล้ว จึงจำเป็นต้องหาคนใหม่เข้ามาให้สายเลือดมีการผลัดเปลี่ยนเสียบ้าง

ใครอยากได้คนใหม่ไม่ทราบ? เจ้าสิอยากได้คนใหม่ อยู่วังหลังต้องใช้เวลาตั้งหลายปี กว่าจะกำจัดริ้วรอยเสี้ยนหนามออกไปจนทุกคนสามารถแข่งขันกันได้อย่างยุติธรรม จู่ ๆ ก็มีสาวน้อยหน้าเนียนขาวใสเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง พวกนางที่เข้าสู่วัยชราร่วงโรยเช่นนี้

แต่ใบหน้ากลับยังต้องแย้มยิ้ม “พอเข้าวังมาแล้ว ต่างก็เป็นพี่สาวน้องสาวกันทั้งนั้น ต่อจากนี้ต่างก็ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี ปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทให้ดีที่สุด เอาล่ะ

ฮองเฮาถึงกับพูดเช่นนี้แล้ว บรรดาท่านหญิงทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงต้องลุกขึ้นแล้วพากันจากไป

นางก็ระเบิดโทสะออกมาจนถึงขั้นริมฝีปากบิดเบี้ยวเลยทีเดียว “คราวนี้ฝ่าบาททรงทำมากเกินไปจริง ๆ ถึงขั้นไม่ยอมมาทักทายพูดคุยอะไรกับข้าก่อนเลยสักนิด!

ต่างก็ต้องการจะปลอบให้ใจนางเย็นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากเจ้าพระยาเจิ้งเป่ยแผลงความหมายไปเป็นกองทัพเจิ้งเป่ย รวมไปถึง เมื่อเอ่ยถึงความจนใจไร้ทางเลือกของฝ่าบาท

อันที่จริง ฮองเฮาก็ไม่กล้าไปพบฝ่าบาทเพื่อคุยเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่คดีของหลอกุ้ยผินได้รับการพลิกคดีใหม่ นางก็รู้สึกผิดในใจมาโดยตลอด

ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งว่าหลอกุ้ยผินเป็นคนวางยาพิษ แต่นางกลับยืนกรานว่าเป็นหลอกุ้ยผิน โวยวายจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนฝ่าบาทจำต้องรีบตัดสินคดีความแบบลวก ๆ ด้วยการสั่งประหารหลอกุ้ยผิน

อ่าน บัลลังก์หมอยาเซียน บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล

ผู้แต่ง ลิ่วเยว่ ที่ บัลลังก์หมอยาเซียน นวนิยาย บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล ให้รายละเอียดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นางเอกใน บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล บัลลังก์หมอยาเซียน ที่มีบุคลิกเสรีนิยมและเข้มแข็ง ได้นำเรื่องราวมาสู่รายละเอียดที่คาดไม่ถึง ส่งผลให้ความรักของคนสองคนเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น นวนิยาย บัลลังก์หมอยาเซียน ลิ่วเยว่ บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล ได้อัปเดตบทล่าสุดที่ th.readeraz.com อ่านชุดเต็ม บัลลังก์หมอยาเซียน แล้ววันนี้

บัลลังก์หมอยาเซียน ลิ่วเยว่ บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล

บัลลังก์หมอยาเซียน นวนิยาย บทที่ 408 วังหลังวุ่นวายโกลาหล