จอมนางหมอ นิยาย บท 2

แคว้นลั่ว มีเมืองลั่วเฉินเป็นเมืองหลวง ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองในการปกครองของฮ่องเต้เย่ไห่เฉิง แคว้นใหญ่นี้ปกคลุมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความเป็นอยู่ของประชาชนนั้นถือได้ว่า มั่งคั่ง และเงียบสงบยิ่งนัก 

ห่างออกไปไกลที่ชายแดนทางใต้ ก็มีเหล่าทหารที่แข็งแกร่งภายใต้การบังคับบัญชาของท่านอ๋องผู้เกรียงไกร ที่ใครๆต่างเรียกขานพระองค์ว่า แม่ทัพเดนตาย แม่ทัพเย่ เย่อู๋เฉิน

อ๋องเฉิน เป็นบุตรชายลำดับที่สามของฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงเกิดจากฮั่วไท่เฟยพระสนมเอกของพระองค์ โดยฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงนั้นมีบุตรชายด้วยกันทั้งหมดเจ็ดพระองค์ บุตรสาวสามพระองค์ โดยมีบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาอู๋ฉีนั้นสองพระองค์ นั่นคือองค์รัชทายาทเย่เฉินตงและองค์ชายรองเย่เฉินฉู่ ในวัยไล่เลี่ยกันนั่นคือองค์รัชทายาทวัยยี่สิบสี่ องค์ชายรองหรืออ๋องฉู่ในวัยยี่สิบสามและองค์ชายสามหรืออ๋องเฉินในวัยยี่สิบสามปีเช่นเดียวกัน

ส่วนอีกด้านของแคว้นลั่วคือทิศเหนือมีแม่ทัพใหญ่คู่ศึกขององค์ฮ่องเต้เย่ไห่เฉิงประจำอยู่ที่นั่น นั่นคือท่านแม่ทัพหลินเสวี่ยเฟย ท่านแม่ทัพหลินเสวี่ยเฟยในวัยสี่สิบปีเป็นแม่ทัพคู่บ้านคู่เมืองมาสองสมัยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์ฮ่องเต้พระองค์ก่อนและยังร่วมรบกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจนได้รับขนานนามว่า แม่ทัพคู่เมือง

เวลานี้แคว้นลั่วสงบสุขไร้ศัตรูมาต่อกรแม่ทัพทั้งหลายจึงได้รับคำสั่งให้เข้าเมืองมาช่วยงานในกรมพระราชวังแทน แต่ถึงกระนั้นองค์ชายสามหรืออ๋องเย่อู๋เฉินพระองค์ก็ยังไม่ยอมที่จะเดินทางกลับเข้ามา ไท่เฟยผู้เป็นพระมารดาต่างก็รู้สึกหดหู่พระทัยยิ่งนัก ด้วยพระนางมีความประสงค์ที่จะหาพระชายาให้กับบุตรชายของตน แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้บุตรชายผู้ดื้อรั้นไม่ยินยอมที่จะกลับเข้ามาในเมืองเสียที

เมืองลั่วเฉินในสารทฤดูดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแสงสีทองสาดส่องทอประกายลงกระทบกับพื้นผิวน้ำเกิดแสงสะท้อนสีทองประกายวิบวับสวยงาม

ณ ศาลาริมบึงในสวนทางด้านหลังจวนของท่านแม่ทัพใหญ่ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบผิวน้ำในยามเย็นที่สวยงาม อากาศในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังอบอุ่นท่ามกลางความเงียบสงบที่ได้ยินเพียงเสียงใบไม้พัดปลิว

มีเงาร่างสองร่างชายหญิงแนบชิดโอบกอดคลอเครียร์กันอย่างแนบแน่นนั่งอยู่ หญิงสาวใบหน้าสวยงามอ่อนหวาน ยิ้มยั่วยวนสองแขนของนางโอบกอดรอบเอวของบุรุษเอาไว้ ใบหน้างามยิ้มเอียงอายซุกอยู่ในอกของเขา นางเอ่ยขึ้นๆเบาๆว่า

"องค์รัชทายาทเพคะ พวกเราทำเช่นนี้มันดีแล้วหรือเพคะหากท่านพี่มาพบเข้า..."

"เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงสตรีไร้ค่าคนนั้นให้ข้าได้ยินอีก เพราะชีวิตนี้ข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น" ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับทำท่าทางรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง

เขาก้มหน้าลงจุมพิตไปที่หน้าผากของหญิงสาวพร้อมกับพูดขึ้นมาอีกว่า "ตอนนี้มีเพียงเราแค่สองคนเท่านั้นไยเจ้าต้องเอ่ยถึงผู้อื่นให้เสียบรรยากาศด้วยเล่า"

"แต่องค์รัชทายาทกับท่านพี่เป็นคู่หมั้นกันนะเพคะ....." ร่างบางยังคงเอ่ยขึ้นในน้ำเสียงปนความน้อยใจออกมา

"เจ้าอย่าเอ่ยถึงนางอีกเลย การหมั้นหมายนั้นข้าต้องหาทางยกเลิกให้ได้ เพราะการหมั้นหมายเกิดขึ้นตั้งแต่ข้ายังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจะไม่ยอมอภิเษกกับนางอย่างแน่นอน"

หญิงไร้ค่าเช่นนางคนนั้นมีสิทธิ์อันใดเหมาะสมกับเขากัน นางก็แค่ขยะที่ไร้ค่าเท่านั้น ผู้ที่เหมาะสมกับเขานั้นคือนางผู้นี้ต่างหากเล่า นางที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาผู้นี้ต่างหาก

"ซินเอ๋อ นอกจากเจ้าแล้วข้าจะไม่ยอมอภิเษกกับผู้ใดเป็นอันขาด เจ้าเชื่อข้าเถิด ข้าจะทำทุกทางให้ได้แต่งเจ้ามาเป็นพระชายาของข้าอย่างแน่นอน"

"องค์รัชทายาท..." หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ ซาบซึ้งกับคำมั่นของเขา

ผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวก็เอ่ยขึ้นด้วยความละอายใจว่า "แต่เราทำเช่นนี้ ไม่เป็นความไม่ยุติธรรมกับท่านพี่หรอกหรือเพคะ อย่างไรเสียนางก็คือพี่สาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึก...."

เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็โอบกระชับหญิงสาวเข้ามาในอ้อมกอดแน่นขึ้น ริมฝีปากบางของเขาเอ่ยขขึ้นกับนางว่า "ซินเอ๋อเจ้าช่างเป็นสตรีที่มีจิตใจโอบอ้อมอารียิ่งนัก เจ้าช่างงดงามทั้งกายใจเสียจริงๆ" กล่าวจบเขาก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางจากนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

"หากนางยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ที่มีน้องสาวรู้ความจิตใจดีเช่นเจ้าอยู่อีก ก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน" 

ทันใดนั้นเอง ในขณะที่ทั้งสองกำลังโอบกอดกันอย่างรักใคร่อยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางหมอ