จอมนักรบทรงเกียรติยศ นิยาย บท 559

เขาสวมเพียงรองเท้าบูตที่ใช้เฉพาะในกองทัพเท่านั้น ทำให้มองดูแล้วคล้ายกับเป็นทหาร ทว่านี่ไม่เพียงพอที่จะแสดงว่าเขาคือโผ้จวินแห่งประเทศหวา ถ้าหากผู้ใดก็ตามที่แต่งกายคล้ายกับทหาร เช่นนั้นผู้นั้นก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นโผ้จวินแห่งประเทศหวา เขาเชื่อมั่นการจัดการขององค์กร องค์กรไม่มีทางส่งตัวเขามายังปากเสือได้

เมื่อนึกถึงองค์กรที่แข็งแกร่งจนทำให้คนขนหัวลุก เขาก็เหยียดตัวตรงทันที เอ่ยว่า “พ่อหนุ่มน้อย ถ้านายจะพูดแบบนี้ รู้จุดจบดีใช่ไหม!”

ในเวลานี้ ผู้ว่าราชการมณฑลก็ยืนขึ้นมาเช่นเดียวกัน เขาเอ่ยกับฟางเหยียนด้วยท่าทางมีอำนาจบาตรใหญ่ “เจ้าเปี๊ยก ฉันเห็นว่านายก็เป็นคนที่รู้จักอะไรควรไม่ควรจะ จอมพลขอความเห็นใจให้กับนายแล้ว นายยังมาพูดแบบนี้อีก ช่างไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเห็นๆ ในเมื่อนายบอกว่านายเป็นจอมพลตัวจริง อย่างนั้นนายพิสูจน์ได้ไหมว่าตัวเองเป็นจอมพลแห่งประเทศหวาตัวจริง?”

ฟางเหยียนเคลื่อนสายตาไปอยู่ที่ผู้ว่าราชการมณฑล เอ่ยว่า “พิสูจน์? คุณมีสิทธิ์ที่จะบอกให้ผมพิสูจน์งั้นเหรอ?”

ผู้ว่าราชการมณฑลสีหน้าถอดสี ทันใดนั้นก็รู้สึกหน้าชา ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเป็นจอมพลโผ้จวินแห่งประเทศหวาจริงๆ หากยึดตามสถานะและตำแหน่งหน้าที่ของตนนั้น ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะให้ฝ่ายนั้นพิสูจน์ตัวเองจริงๆ ต่อให้พิสูจน์ขึ้นมาแล้วจริงๆ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทราบ

“นี่มัน...” ผู้ว่าราชการมณฑลไม่ทราบว่าจะต้องเอ่ยอันใดแล้ว

ฟางเหยียนแทบจะไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่เอ่ยกับชายหนุ่มผู้นั้นต่อ ทีละคำทีละคำ “อย่าเชื่อใจองค์กรเบื้องหลังของแกมากเกินไป พวกเขาจะต้องถูกฉันจัดการไม่นานก็ช้า!”

คำพูดนี้เต็มไปด้วยคำเหยียดหยามต่อองค์กรสัตว์เพลิง ในเวลานี้ชายที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ด้านหลังของชายหนุ่มสองคนก็ได้เดินขึ้นมา ขวางหน้าชายหนุ่มเอาไว้ สายตาของพวกเขามีรังสีอำมหิตอยู่ด้วย ราวกับว่าคำพูดนี้ของฟางเหยียนได้จี้จุดเส้นตายของพวกเขาเข้า พวกเขาต้องการที่จะสังหารฟางเหยียน

ทั้งสองคนล้วนเซ็ตผมเป็นทรงเสยข้างหลัง สวมชุดทหาร มีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านท่วมร่าง

ฟางเหยียนยกมือขึ้นมาชี้ชายหนุ่มสองคนนั้น เอ่ยว่า “ทำไม? พูดถึงองค์กรของพวกแก ก็เลยอยากจะลงไม้ลงมืองั้นเหรอ?”

เมื่อทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็ไม่พูดอันใดตอบโต้ สาวเท้ารัวๆ เดินมุ่งมาหาฟางเหยียนทันที ลักษณะท่าทางและท่าทีของทั้งสองคนเหมือนกันอย่างยิ่ง พวกเขามีความคล้ายคลึงกับพี่สาวน้องสาวสี่คนที่อยู่ในสำนักไร้หน้า หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนเข้าใกล้ฟางเหยียน กลับไม่ได้รีบร้อนที่จะลงมือแต่อย่างใด ครั้นหมุนรอบเป็นวงกลมกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างกายต่อหน้าฟางเหยียนสองสามครั้ง แล้วจึงสาวเท้าพุ่งเข้าไปโจมตีฟางเหยียน

บอกว่าจะลงมือก็ลงมือ ไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย ทั้งสองคนปฏิบัติการล้วนมีหลักการและมีรูปแบบเป็นของตนเอง

คนหนึ่งอยู่ซ้าย คนหนึ่งอยู่ขวา ทั้งสองคนรวมหัวกันพุ่งเข้ามาโจมตีฟางเหยียน และในขณะที่พวกเขากำลังบุกโจมตีนั้น อยู่ๆ ข้างหลังก็มีแสงหมาป่าสีดำปรากฏออกมา นี่เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ทว่าโจวปินคางผู้ที่เป็นนินจากลับมองเห็น ปากของเขายังเอ่ยพึมพำอยู่ว่า “ผู้ปกปักรักษาหมาป่าคู่!”

เมื่อมองไปดูอีกครั้ง ก็เห็นฟางเหยียนไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ไม่แม้แต่จะกะพริบตา

สองคนนี้ ในสายตาของเขาก็ราวเป็นตัวตลก เขาไม่มองสองคนนี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ผู้อื่นมองฟางเหยียน บางทีอาจรู้สึกว่าเขาทราบว่าความสามารถของตัวเองไม่มากพอ ทำได้เพียงยืนรอความตายเท่านั้น ทว่าโจวปินคางไม่คิดเช่นนั้น เพราะเขาทราบดีว่าฟางเหยียนเป็นผู้ที่มีกำลังภายในเข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้เขาไม่ใช่จอมพลของประเทศหวา ก็จำต้องเป็นยอดฝีมือที่ทัดเทียมกันเป็นแน่

ดูเพียงบาดแผลบนร่างกายของเขา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดาก็สามารถรับมือได้ไหว หากเป็นคนธรรมดาต้องไปรับมือกับแผลช้ำใจแบบนั้นของเขา ตอนนี้ตับไตไส้พุงอาจจะฉีกขาดทั้งหมดแล้วก็เป็นได้ เขาเริ่มพึมพำขึ้นมาในใจ

หลายปีอันใกล้นี้ของประเทศหวาไม่มีการสู้รบที่ใหญ่โตอันใด นอกจากนักเต๋าอีเหมย อ๋าวไท่ สำนักไร้หน้าที่ถูกทำลายในช่วงนี้ ก็ไม่เคยเกิดเป็นการสู้รบอันใหญ่โตใดๆ ขึ้นมาอีก ได้รับบาดแผลเช่นนี้ จำต้องถูกแผ่กระจายไปทั่วในดินแดนนินจา

ดังนั้นบาดแผลของเขาจึงไม่ได้รับที่ดินแดนนินจาอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่ใช่ดินแดนนินจา เช่นนั้นแน่นอนว่าจะต้องเป็นอยู่ในสนามรบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนักรบทรงเกียรติยศ