นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 808

เฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกมาได้อย่างเป็นระเบียบและชัดเจน ไม่มีช่องโหว่ให้จวนซุ่นหนิงโหวได้แทรกแซง พวกเขาทำได้เพียงเฟิ่งชิงเฉินพูดในห้องพิจารณาคดีอย่างลื่นไหล เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้นำหลักฐานอะไรออกมา นางมีเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียวแต่กลับสามารถทำให้จวนซุ่นหนิงโหวดูไร้ค่าได้

มหัศจรรย์!

ในตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะละสายตาจากเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจื่อลั่วต้องบอกเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ แม้พรสวรรค์ของเฟิ่งชิงเฉินจะต่างออกไปจากสิ่งที่ผู้หญิงควรมี แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าพรสวรรค์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นโดดเด่นในห้องพิจารณาคดีแห่งนี้มาก

ผู้หญิงคนนี้ ขอแค่นางได้รับโอกาสก็สามารถเปล่งประกายได้อย่างเจิดจรัส ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น แต่มันสามารถพรากหัวใจของผู้คนไปได้

ตอนแรกทำไมเขาถึงได้คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนอ่อนแอ ไร้ซึ่งความสามารถ และเป็นคนเจ้าเล่ห์? ทำไมเขาถึงได้คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินไร้ความสามารถ ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเขาไม่ได้?

เสียใจ? ตงหลิงจื่อลั่วบอกตัวเองว่าไม่มีทางเสียใจ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี เฟิ่งชิงเฉินที่สู้อย่างสุดความสามารถเพื่อทวงความยุติธรรมให้ซุนซือสิง เขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที

เพื่อซุนซือสิงเพียงคนเดียว เฟิ่งชิงเฉินถึงขั้นยอมเป็นศัตรูกับจวนซุ่นหนิงโหวและองครักษ์เสื้อโลหิตอย่างไม่ลังเล หากเพื่อคนรัก นางจะทำอะไรออกมาได้บ้าง?

ยอมสละทุกอย่าง? ทุ่มเททุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข?

คิดถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว ร่างกายของตงหลิงจื่อลั่วเดือดพล่าน เขาอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้ หากตอนนั้นเขาไม่ได้พบกับเหยาหวา และเหยาหวาไม่ได้เข้ามาทำลายงานแต่งงานของเขา เขาก็คงได้แต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนั้นเขาก็จะได้เป็นชายเพียงหนึ่งเดียวของเฟิ่งชิงเฉิน และเขาก็สามารถพูดกับชายทั้งโลกอย่างภาคภูมิใจว่า ผู้หญิงคนนั้นคือภรรยาของข้า แต่น่าเสียดายที่เขาเสียโอกาสนั้นไป

ตงหลิงจื่อลั่วจ้องมองมือทั้งสองข้าของตนเองอย่างว่างเปล่า ในมือของเขาเคยมีผ้าไหมสีแดงผืนหนึ่ง ตราบใดที่เขากำหมัดแน่น เขาสามารถดึงผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในอ้อมแขนของเขาได้ แต่เมื่อเขาปล่อยมันไปแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสจะนำมันกลับมา

เมื่อนึกถึงคำเตือนของเสด็จอาเก้า ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วมืดมนลงไปทันที เขาตอนนี้ไม่มีแม้แต่ใจที่จะคิดว่าหากหัวหน้าศาลต้าหลี่หลุดจากตำแหน่ง ใครจะเป็นคนขึ้นมาแทน

องค์ชายรองเหลือตามองตงหลิงจื่อลั่ว เห็นสภาพซึ่งไร้วิญญาณของตงหลิงจื่อลั่ว ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้ดวงตาขององค์ชายรองเต็มไปด้วยความดูถูก

เมื่อสูญเสียไปแล้วจะมาเสียใจภายหลังก็ไม่มีประโยชน์ หากเป็นผู้หญิงคนอื่นจื่อลั่วอาจจะยังมีโอกาส แต่เฟิ่งชิงเฉินคือผู้หญิงของเสด็จอาเก้า เกรงว่าชีวิตนี้ตงหลิงจื่อลั่วคงไม่มีโอกาสเหลืออยู่แล้ว

องค์ชายรองไม่สนใจตงหลิงจื่อลั่ว เฝ้ามองเฟิ่งชิงเฉินจัดการกับจวนซุ่นหนิงโหวต่อไป สุดท้ายผลลัพธ์กลับทำให้องค์ชายรองแปลกใจ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ไล่ต้อนจวนซุ่นหนิงโหวจนถึงที่สุด ดูเหมือนว่านางจะต้องใจปล่อยจวนซุ่นหนิงโหวไป

หลังจากสรุปคดีทั้งหมดเป็นอันเรียบร้อย เฟิ่งชิงเฉินถามออกมาอย่างสุภาพว่า “คุณชายเฉิน ทนายฉิง พวกท่านมีอะไรจะพูดหรือไม่ ข้าได้วิเคราะห์เหตุการณ์ซึ่งหน้าจะเกิดขึ้นไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีคำพูดไหนผิดไปหรือเปล่า? หรือพวกท่านเชื่อในความสามารถของซุนซือสิง ว่าเขาสามารถทำทุกอย่างกับคุณหนูลิ่วได้ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป”

เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาในตอนที่นางถามคำถามนี้ แต่รอยยิ้มนั้นสำหรับคุณชายเฉินและทนายฉิง ไม่ว่าดูอย่างไรมันก็คือรอยยิ้มแห่งความเศร้าหมอง

พูด พูดบ้าอะไรของเจ้า เจ้าเฟิ่งชิงเฉินพูดทุกอย่างออกไปหมดแล้ว พวกเขายังพูดอะไรออกมาได้อีก ใบหน้าของทนายฉิงเต็มไปด้วยความขมขื่น ปาดเหงื่อพร้อมกล่าวออกมาว่า “เรื่องนี้ เรื่องนี้ คุณชาย ท่านมีความเห็นอย่างไร?”

“ความเห็นอะไร ท่านเป็นทนาย น้องสาวของข้าเสียชีวิตต่อหน้าซุนซือสิง หรือว่าข้าจะมีความผิดอะไร?” คุณชายเฉินเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี เขาเข้ามาที่นี่ด้วยความเย่อหยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ลงมือกลับถูกเฟิ่งชิงเฉินโจมตีจนไร้ซึ่งหนทางตอบโต้

ภายใต้ข้อกล่าวหาและบทสรุปของเฟิ่งชิงเฉิน จวนซุ่นหนิงโหวไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ พวกเขาไม่กล้าแม้กระทั่งตะโกนใส่เฟิ่งชิงเฉินว่านางเป็นคนใส่ร้ายพวกเขา

จากชุดคำถามดังกล่าว ต่อให้พวกเขาเปลี่ยนคำพูดมันก็ไม่มีประโยชน์ หลังซุนซือสิงออกไปจากตำหนักด้านหน้ามันก็เกือบจะสิบโมงแล้ว เวลาเพียงสิบห้านาทีมันไม่สามารถเอาไปทำอะไรได้

คุณชายเฉินพ่นลมหายใจ ทันใดนั้นทนายฉิงก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาเองก็เป็นโจทก์ จึงรีบตอบกลับไปอย่างขมขื่น “ใช่แล้วแม่นางเฟิ่ง จากที่เจ้าพูดออกมา งั้นก็แสดงว่าคุณหนูลิ่วแห่งจวนซุ่นหนิงโหวต้องตายเปล่าอย่างนั้นหรือ?”

ใช้เหตุผลไม่ได้ งั้นพวกเขาก็คนทำได้แค่ใช้ความน่าสงสารเข้าสู้ ในจวนของพวกเขามีคนตาย ทนายฉิงสวมบทบาทเป็นผู้เสียหาย บ่งบอกว่าตนเองเป็นฝ่ายสูญเสีย

“ทำไมคุณหนูลิ่วของพวกท่านจึงเสียชีวิตลงในจวน พวกท่านก็รู้อยู่แก่ใจ” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาอย่างสงบ นางยังอยากจะเอาศพของอีกฝ่ายมาชันสูตร ดังนั้นจึงไม่สามารถบีบคั้นจวนซุ่นหนิงโหวจนถึงขีดสุดได้

เห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับถอยออกมาอย่างกะทันหัน หันไปประสานมือและกล่าวกับผู้พิพากษาทั้งสามว่า “ใต้เท้า เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจบแล้ว ท่านใต้เท้าโปรดให้คำตัดสิน”

พูดจบนางก็ถอยกลับไปด้านหลังเพื่อรอคำตัดสินจากหัวหน้าศาลต้าหลี่ คดีมันชัดเจนถึงขนาดนี้ ต่อให้จวนซุ่นหนิงโหวเอาคนตายมาพูดมันก็ไม่มีประโยชน์

ทุกคำให้การย่อมมีช่องโหว่ หากเจ้าสามารถหาช่องโหว่นั้นเจอ ทำลายมัน เจ้าก็สามารถพลิกสถานการณ์ และป้องกันตนเองจากฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ตอนนี้จวนซุ่นหนิงโหวกลับไม่มีหลักฐานว่าตนเองถูกใส่ร้าย หากจวนซุ่นหนิงโหวฉลาดกว่านี้ พวกเขาก็น่ามีวิธีการตอบโต้

แน่นอนว่านางไม่ต้องการให้จวนซุ่นหนิงโหวสารภาพผิดในเวลานี้ หากอีกฝ่ายยอมรับ แบบนั้นนางจะนำศพมาชันสูตรได้อย่างไร ตายยังไม่ถึงสามวัน แต่กลับนำศพไปฝั่ง แบบนั้นหากบอกว่าจวนซุ่นหนิงโหวไม่มีแผนร้ายอยู่ในใจ ใครก็ไม่มีทางเชื่อ

ในตอนนี้หัวหน้าศาลต้าหลี่เองก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เฟิ่งชิงเฉินส่งมันร้อนมาให้เขา เขาจะต้องตัดสินอย่างไร คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสมเหตุสมผล แต่ทางฝั่งของจวนซุ่นหนิงโหวก็มีผู้เสียชีวิต เขาไม่สามารถตัดสินคดีโยนความผิดให้กับจวนซุ่นหนิงโหวเพราะคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเพียงฝ่ายเดียวได้

ในตอนนี้ คุณชายเฉินรู้สึกเหมือนตนเองได้รับพรอย่างกะทันหัน ก่อนที่หัวหน้าศาลต้าหลี่จะตัดสิน จู่ ๆ เขาก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ