ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 9

สถานการณ์ทางด้านเหยี่ยนฮ่าว ดำเนินต่อไปในทิศทางที่ไม่ดีนักเขานำเครื่องรางป้องกันสิ่งชั่วร้ายที่ท่านพ่อเขามอบให้มาห้อยไว้ที่คอ   เขารู้สึกถึงพละกำลังที่หายไปสามส่วนเพราะถูกเครื่องรางดูดซับไป จนมันเริ่มร้อนขึ้น   นี่คือสัญญาณว่าเครื่องรางได้ถูกใช้งาน   

         เพราะการเปิดใช้เครื่องรางนั้นจะดูดซึมพลังวิญญาณจากเจ้าของ  จึงทำให้พละกำลังที่ใช้ต่อสู้ลดลงไป   จึงเหมาะสมที่ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น

แกร่ก  แกร่ก!

 

         เหยี่ยนฮ่าวตัดสินใจเดินออกมาจากที่ซ่อน  จากที่เขาครุ่นคิดดู ตอนนี้ศัตรูเขามีสองฝ่าย  หนึ่งคือฝ่ายทหารแค้วนจ้าวสองคน ซึ่งเหลือเพียงคนบาดเจ็บที่ขากับคนที่กำลังโดนผีสาวสะกดไว้  หากสู้กันจริงๆเขาก็ไม่เกรงกลัว   แต่ปัญหาคือฝ่ายที่สองซึ่งก็คือวิญญาณร้ายตัวนั้นที่ส่งผลคุกคามต่อชีวิตเขาที่สุด 

         ตั้งแต่ที่เหยี่ยนฮ่าวมาถึงค่ายทหารแคว้นฉู่ตรงชายแดนนั้น  ด้วยความรอบคอบเขาได้เลือกศึกษาข้อมูลต่างๆของสนามรบเอาไว้อย่างละเอียด  จนเขาได้ไปเจอกับเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณร้าย ที่สามารถพบเจอได้แถวบริเวณรอบๆป่าต้องห้าม  เพื่อป้องกันเหล่าทหารใหม่แตกตื่นจึงไม่ได้ถูกบันทึกไว้เป็นตัวอักษร  แต่หากถามผู้ที่ประจำการอยู่แถวนี้มาเกินสิบปีล้วนทราบดี

        เหยี่ยนฮ่าวเองก็อาศัยเส้นสายจากทางตระกูล จนได้พบกับทหารเก่าที่เคยเผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายโดยตรง  ซึ่งสามารถจำแนกอันตรายได้เป็นสามระดับตามที่เคยมีผู้พบเห็น 

 

ระดับแรกคือพวกวิญญาณหยิน พวกนี้เกิดจากวิญญาณคนที่ตายในสนามรบแล้วยังมีบ่วงผูกพันไม่สลายไป จนถูกป่าต้องห้ามดึงดูดเข้าไปกลายเป็นวิญญาณสวมชุดขาว ที่คอยล่อลวงคนมีชีวิตเข้าไปให้พวกมันสิงสู่ดูดกลืนพลังชีวิตจนตาย แต่พวกนี้จะอ่อนแอมากแค่เพียงผู้ฝึกยุทธตั้งแต่ขอบเขตรวมปราณขึ้นไปก็ต่อกรได้ไม่ยาก 

         ระดับที่สองคือวิญญาณแค้น  พวกนี้เกิดจากคนที่ตายด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนสาปแช่งต่อสวรรค์ พวกนี้จะสวมใส่ชุดที่เปื้อนเลือด ยิ่งมันฆ่าคนมีชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่มันจะยิ่งน่ากลัวขึ้นเท่านั้น  ความแค้นของคนที่ถูกมันสังหารจะถูกดูดไปเพิ่มรอยเปื้อนบนชุดมันให้เพิ่มขึ้น  พวกนี้ต้องอาศัยผู้ฝึกตนขอบเขตรวมปราณที่มีจิตเข้มแข็งสามถึงสี่คน  รวมทั้งอาวุธที่ผ่านการเข่นฆ่ามามากมายจนมีพลังหยางแรงกล้าถึงจะต่อกรได้

          ระดับสุดท้าย คือวิญญาณแค้นที่เข่นฆ่าผู้คนมากมายจนชุดที่สวมใส่ชุ่มไปด้วยเลือดทั้งตัว  พวกนี้จะกำเนิดใหม่ด้วยคำสาปกลายเป็นปีศาจสีเลือด  แต่มีโอกาสน้อยมากที่จะพบเจอ  ไม่ใช่วิญญาณแค้นทุกตนจะเกิดใหม่เป็นปิศาจสีเลือดได้  ซึ่งผู้ที่พบเห็นหากหนีไม่พ้นต้องเสียชีวิตทุกคน  แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตปราณนภาก็ยังอาจถูกคำสาปมันสังหารได้

            

ซึ่งผีสาวตรงหน้าเหยี่ยนฮ่าวนี้ก็เป็นวิญญาณแค้นที่น่ากลัว ชุดที่สวมใส่ชุ่มไปด้วยเลือดเกือบครึ่งแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าเครื่องรางจะป้องกันได้หรือไม่  หากมันเพ่งเล็งมนต์สะกดมาที่เขาเพียงผู้เดียว

ตุบ ตุบ!

         เหยี่ยนฮ่าวเดินออกมา สบตากับหัวหน้าทหารจ้าวแล้วพยักหน้าให้ ส่งสัญญาณมือชี้ไปทางผีสาว  พวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนมีความคิดอ่าน ทำให้ต่างก็เข้าใจสถานการณ์โดยไม่ต้องเอ่ยวาจา

            

ตอนนี้ผีสาวตนนั้นก้าวเท้าข้างหนึ่งเหยียบ ลงบนบ่าของเหยื่อรายใหม่แล้ว ซึ่งกำลังยืนนิ่งตาลอยไม่รู้สึกตัว  แม้ตอนที่เหยี่ยนฮ่าวเดินออกมาก็ไม่มีการตอบสนอง เหมือนมองไม่เห็นไม่รับรู้ใดๆ ส่วนทหารคนแรกที่ถูกสิงมาตอนนี้กลายเป็นเพียงซากศพที่แห้งกรัง ยืนตัวแข็งอยู่กับที่  อย่างกับว่ากับว่าหากผีตนนั้นเปลี่ยนที่สิงสู่  ก็จะกลายเป็นซากศพนี้จะผุพังลงไปกองกับพื้นทันที

            

“ โจมตีตอนนี้ ”  เหยี่ยนฮ่าวตระโกนขึ้น พร้อมกับพุ่งหอกโจนทะยานเข้าใส่ผีสาวทันที หอกที่เขาใช้ได้รับสืบทอดมาจากบิดา ผ่านการใช้งานในสงครามมาหลายปีมีปราณหยางสังหารหนาแน่นใช้ทำร้ายพวกวิญญาณแค้นได้แน่นอน  เสริมด้วยผลของเครื่องรางที่สวมอยู่ จึงทำให้เขาตัดสินเลือกกำจัดผีสาวก่อน

           “ ปราณกระทิงอัคคี ” หัวหน้าทหารจ้าวก็ผสานการโจมตีกับเหยี่ยนฮ่าว  เขาหยิบมีดสั้นสีดำซึ่งเป็นอาวุธเวทที่เขาพกไว้ติดตัว มันสามารถใช้โจมตีใส่วิญญาณแค้นได้เช่นกัน  เขาใช้พลังปราณสิบส่วนถ่านทอดเข้าไปในมีดบินจนมีเปลวเพลิงลุกท่วม  แล้วปาเข้าใส่ขาของผีสาวที่เหยียบอยู่บ่าพี่น้องของเขา 

หากเขาเลือกได้ก็ขอตายจากการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน  ย่อมดีกว่าถูกผีร้ายสิงแล้วสูบพลังชีวิตจนตาย

            

การโจมจากทั้งสองทาง พุ่งเข้าใส่ผีสาวทันที  ปลายหอกของเหยี่ยนฮ่าวถึงเป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก แต่โดนมือของทหารที่ถูกสิงจนแทบจะกลายเป็นศพแห้งยกขึ้นมาจับไว้ แววตากลวงโบ๋ของซากศพเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเหยี่ยนฮ่าว   ความหนาวเย็นบางอย่างที่ทำให้ร่างกายแข็งทื่อแทรกซึมเข้ามาในร่างเหยี่ยนฮ่าวทันที   แต่เมื่อเครื่องรางที่สวมอยู่เปล่งความร้อนขึ้นเล็กน้อย   ความหนาวเย็นที่รู้สึกได้ก็ถูกขับออกไปทันที

            

ปลายหอกถูกดันเข้าไปเรื่อยๆจนนิ้วของทหารที่ถูกสิงขาดออกไปสองนิ้ว  แต่มันก็ใช้มืออีกข้างมาจับหอกจนหยุดไว้ได้  ตอนนี้ผีสาวกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญในการเปลี่ยนภาชนะใหม่  นางกำลังครอบงำสติของเหยื่อรายใหม่ ทำให้ไม่สามารถแบ่งแยกพลังมารับมือกับเหยี่ยนฮ่าวได้มากนัก

            

ในป่าแห่งนี้ไม่มีทางหนี หากเยี่ยนฮ่าวและหัวหน้าจ้าวเลือกที่จะหนีทั้งคู่  สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีใครรอด  เราเพราะต่างก็ถูกคำสาปของผีสาวไปแล้วโดยไม่รู้ตัว  ความสามารถของวิญญาณแค้นตนนี้คือ หากนางใช้คำสาปหมายหัวผู้ใดในป่าต้องห้าม ทุกครั้งที่กระพริบตาจะเห็นเงาร่างนางเข้ามาใกล้เรื่อยๆไม่มีทางหนีพ้น

ฟิ้วว!! 

          มีดสั้นที่มีลุกท่วมของหัวหน้าจ้าวถูกมือของผีสาวคว้าไว้ได้  มือนางถูกเผาไหม้ทันที 

กรี้ดดด!!

          เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยลอยแผลเริ่มฉีกขาดอย่างน่ากลัว  ลูกตาสีแดงที่ถลนออกจากเบ้าทอประกายสีเขียว  มันมองตรงไปที่หัวหน้าจ้าวด้วยความคลั่งแค้น  ริมฝีปากสีม่วงคล้ำพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเบาๆ   

ครึ่กๆ

ร่างของหัวหน้ากองจ้าวสั่นสะท้านอย่างแรง  เขามองเห็นตัวเขาเข้าไปอยู่ในตำแหน่งแทนที่น้องร่วมสาบาน  ใบหน้าของผีสาวตนนั้นก้มมองลงมาจากเหนือศีรษะ  บาดแผลบนใบหน้านั้นฉีกอ้าออกเลือดสีแดงของมันพุ่งกระจายใส่ใบหน้าของเขา  ลิ้นสีดำยืดยาวออกมาเลียไปที่ใบหน้าเขาอย่างช้าๆ  ความหวาดกลัวสุดขีดแทบทำให้เขาพังทลายลง

 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ